วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Chapter 3 : Data and Signals

Data and Signals

  • Data คือ ข้อมูลหรืออะไรต่างๆที่เข้ามาและมีความหมาย
  • Signals คือ รูปแบบสัญญาณไฟฟ้า หรือแม่เหล็กที่แทนข้อมูล
  • Data และ Signals สามารถเป็น Digital หรือ Analogue ก็ได้
  • Analogue signals เป็นสัญญาณที่มีความต่อเนื่องตลอดเวลา
  • Digital signal เป็นสัญญาณที่ไม่มีความต่อเนื่อง โดยจะมีค่าๆ หนึ่งในเวลาหนึ่งๆ และจะเปลี่ยนทันทีเมื่อถึงเวลาถัดไป

Periodic และ Aperiodic signal
  • Periodic signal คือสัญญาณมีลักษณะซ้ำเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งหรือเมื่อครบรอบเวลาหนึ่ง
  • Aperiodic signal คือสัญญาณที่ไม่มีรูปแบบซ้ำ เหมือนการ random สัญญาณ
  • ทั้งสัญญาณ analogue และ digital สามารถเป็นทั้ง Periodic และ Aperiodic

องค์ประกอบสัญญาณ Analogue
  • f frequency ความถี่ คือ จำนวนสัญญาณใน 1 วินาที : Herz , Hz
  • T period คาบ คือ ระยะเวลาที่คลื่นเดินทางครบ 1 รอบ : second, sec
  • A amplitude คือ ความสูงสัญญาณ : volt, v
  • λ lamda ความยาวคลื่น คือ ระยะทางสัญญาณเดินทางครบ 1 รอบ : meter,m
  • f = 1/T
Composite signal
  • คลื่น sine wave หนึ่งมีความถี่เดียว
  • คลื่นซับซ้อนประกอบด้วยหลายความถี่
  • สัญญาณสามารถสร้างได้จากสัญญาณ wave แบบง่ายมารวมกัน เช่น sine wave

Time และ Frequency domain

  • ปกติเรามองสัญญาณใน time-domain แต่เราสามารถ plot เป็น frequency-domain ได้

Transmission of signal

  • ปกติการทุกการสื่อสารข้อมูลจะเป็นสัญญาณประกอบด้วยสัญาณไฟฟ้าย่อยๆ
  • สัญญาณทางไฟฟ้าต้องการสื่อกลาง
  • สื่อกลางมีทั้ง guide ใช้สายส่ง , unguided media ไม่ใช้สายส่ง

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Chapter 2 (Cont.)

ระบบเลขฐานสิบ (Decimal System)
ระบบเลขฐานสิบนี้เป็นระบบเลขที่เราใช้กันมาเป็นประจำในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยตัวเลขโดดทั้งหมด 10 ตัว คือ 0 - 9


ระบบเลขฐานสอง (Binary System)
ระบบเลขฐานสองหรือระบบเลขไบนารี มีเลขโดดที่ใช้อยู่ 2 ตัว คือ 0 และ 1

ระบบเลขฐานแปด (Octal Number System)
ระบบเลขฐานแปดเป็นระบบเลขที่มีเลขโดดที่ใช้ทั้งหมดแปดตัวเรียงตามลำดับค่าดังนี้ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7

ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal Number System)
ใช้สัญลักษณ์แทนจำนวนในระบบเลขฐานสิบหกนั้นจะประกอบด้วยตัวเลข 10 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 และอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ในภาษาอังกฤษ อีก 6 ตัว คือ A, B, C, D, E, F ซึ่งเมื่อคิดค่าในระบบฐานสิบแล้ว A มีค่าเป็น 10, B มีค่าเป็น 11 เรื่อยไป และสุดท้าย F มีค่าเป็น 15

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Chapter2 : Network Model

2-1 LAYERED TASKS

ตัวอย่าง ระบบการส่งจดหมายแบบลําดับขั้น มีองค์ประกอบ 5 ประการ (ตามนิยามการสื่อสาร)

  • Protocol หมายถึง ชุดของกฎหรือข้อตกลง ในที่นี้คือระบบการส่งจดหมายทางไปรษณีย์
  • Message คือ จดหมาย ประกอบด้วยข้อมูล ที่ต้องการสื่อสาร
  • Sender ได้แก่ ผู้ส่งเขียนจดหมาย สอดไปในซอง (Packet) ติดแสตมป์ (Protocol) แล้วหย่อนลงตู้ไปรษณีย์
  • Medium คือ เส้นทางการขนส่งจดหมายกําหนดโดยที่ทําการไปรษณีย์ ส่วนกลาง และท้องถิ่น
  • Receiver ได้แก่ ผู้รับหยิบจดหมายจากตู้รับหน้าบ้าน เปิดซอง แล้วอ่านข่าวสาร
Hierarchy หมายถึง ลําดับของขั้นตอนดําเนินการซึ่งขั้นต้องสอดคล้องกัน (จํานวนเท่ากัน และสมมูลกัน) ทั้งทางด้านส่งและทางด้านรับ

2-2 OSI MODEL
  • เป็นมาตรฐานการอธิบายการติดต่อสื่อสารและโพรโทคอลของระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยองค์กรที่ชื่อว่า International Organization for Standardization (ISO)
  • โมเดลนี้ได้ถูกแบ่งย่อยออกเป็น 7 ชั้นอันได้แก่ Application, Presentation, Session, Transportation, Network, Data Link และ Physical เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจว่าแต่ละชั้นนั้นมีความสำคัญอย่างไร และสัมพันธ์กันอย่างไรระหว่างชั้น


Application Layer - ชั้นที่เจ็ดเป็นชั้นที่อยู่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุดและเป็นชั้นที่ทำงานส่งและรับข้อมูลโดยตรงกับผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น ซอร์ฟแวร์โปรแกรม ต่างๆที่อาศัยอยู่บนเลเยอร์นี้ เช่น DNS,HTTP,Browser เป็นต้น


Presentation Layer - ชั้นที่หกเป็นชั้นที่รับผิดชอบเรื่องรูปแบบของการแสดงผลเพื่อโปรแกรมต่างๆที่ใช้งานระบบเครือข่ายทำให้ทราบว่าข้อมูลที่ได้เป็นประเภทใด เช่น [รูปภาพ,เอกสาร,ไฟล์วีดีโอ]


Session Layer - ชั้นที่ห้านี้ทำหน้าที่ในการจัดการกับเซสชั่นของโปรแกรม ชั้นนี้เองที่ทำให้ในหนึ่งโปรแกรมยกตัวอย่างเช่น โปรแกรมค้นดูเว็บ(Web browser)สามารถทำงานติดต่ออินเทอร์เน็ตได้พร้อมๆกันหลายหน้าต่าง


Transport Layer - ชั้นนี้ทำหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสาร ซึ่งการตรวจสอบความผิดพลาดนั้นจะพิจารณาจากข้อมูลส่วนที่เรียกว่า checksum และอาจมีการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นๆ โดยพิจารณาจาก ฝั่งต้นทางกับฝั่งปลายทาง (End-to-end)โดยหลักๆแล้วชั้นนี้จะอาศัยการพิจารณาจาก พอร์ต (Port)ของเครื่องต้นทางและปลายทาง


Network Layer - ชั้นที่สามจะจัดการการติดต่อสื่อสารข้ามเน็ตเวิร์ค ซึ่งจะเป็นการทำงานติดต่อข้ามเน็ตเวิร์คแทนชั้นอื่นๆที่อยู่ข้างบน


Data Link Layer - ชั้นนี้จัดเตรียมข้อมูลที่จะส่งผ่านไปบนสื่อตัวกลาง


Physical Layer - ชั้นสุดท้ายเป็นชั้นของสื่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจจะเป็นทั้งแบบที่ใช้สายหรือไม่ใช้สาย ตัวอย่างของสื่อที่ใช้ได้แก่ Shield Twisted Pair(STP), Unshield Twisted Pair(UTP), Fibre Optic และอื่นๆ

  • Peer-to-Peer Processes
    การสื่อสาร ระหว่างแต่ละ Node จะเป็นการโต้ตอบภายใน Layer เดียวกันเท่านั้น ด้วย Protocol ที่
    นิยามเฉพาะใน Layer นั้น → Flexibility เช่น การ Set Internet Connection ใน window

2-3 LAYERS IN THE OSI MODEL

  • Physical รับ/ส๋ง Bit Stream ระหว๋างตัวกลาง และนิยามข้อกําหนดที่เกี่ยวข้อง
  • Data Link รับ/ส่ง Frame ข้อมูลเพื่อทําการ รับ/ส่งระหว่าง Node (Hop-to-Hop)
  • Network รับ/ส่ง Packet ระหว่าง Node ต้นทางไปยัง Node ปลายทาง
  • Transport รับ/ส่ง Message ระหว่าง Process ต้นทาง ไปยังปลายทาง
  • Application เชื่อมต๋อระหว๋างผู้ใช้กับเครือข่าย

2-4 tcp/ip protocol suite

TCP/IP มีที่มาจากโปรโตคอลคือ ทีซีพี (TCP : Transmission Control Protoclo) และ ไอพี (IP : Internet Protocol) IP ทำหน้าที่กำหนดแอดเดรส จัดแบ่งขนาดข้อมูลให้ พอเหมาะ และเลือกเส้นทางส่งข้อมูล ส่วน TCP มีหน้าที่รับประกันความถูกต้องในการลำเลียงข้อมูล TCP และ IP ไม่ได้เป็นเพียงสองโปรโตคอลที่มีอยู่เท่านั้น หากแต่ยังมีโปร โตคอลสนับสนุนอีกเป็นจำนวนมากจัดรวมกันเป็นชุดโปรโตคอล ทีซีพี/ ไอพี (TCP/IP protocol suite)

  • เป็นชุดของ Protocol ที่ทำงานพื้นฐาน มี 5 Layer คือ Physical, Network, Transport และ Application เป็นต้น โดยมีสิ่งที่สำคัญคือ ความสามารถในการสื่อสาร และเรียงลำดับข้อมูล ระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ หลายๆ ระบบ
  • TCP/IP Module ที่ใช้ในแต่ละเครื่องต้องถูกปรับให้เหมาะสมสำหรับคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการ แต่มีมาตรฐานสำหรับเครือข่าย

2-5 Addressing

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

chapter1 : Introduction

1.1 การสื่อสารข้อมูล
หมายถึง การโอนถ่ายข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางกับปลายทาง โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีตัวกลาง นอกจากนี้อาจจะมีผู้รับผิดชอบในการกำหนดกฏเกณฑ์ในการส่งหรือรับข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการ

ระบบเครือข่ายมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทคือ

  • เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network)

เป็นรากฐานของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วไป กล่าวคือ เกือบ ๆ ทุกเครือข่ายต้องมี LAN เป็นองค์ประกอบ เครือข่ายแบบ LAN อาจเป็นได้ตั้งแต่เครือข่ายแบบง่าย ๆ จนถึงเครือข่ายที่ซับซ้อน

  • เครือข่ายบริเวณเมืองใหญ่ (Metropolitan Area Network)

ซึ่งเป็นเครือข่ายแบบ WAN ที่มีระยะห่างไม่มากนัก การเชื่อมโยงแบบ MAN ปกติแล้วจะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างตึกต่างๆ ด้วยการเชื่อมโยงความเร็วสูงผ่านสายใยแก้วนำแสง และเป็นระบบเครือข่ายสาธารณะที่สามารถทำการเช่าใช้งานจากผู้ให้บริการได้ทันที

  • เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network)

ตรงข้ามกับ LAN เครือข่ายบริเวณกว้างหรือ WAN เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง หรืออาจจะครอบคลุมทั่วโลกก็ได้



1.2 ระบบเครือข่าย
หมายถึง กลุ่มของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันดังนั้นเครือข่ายคอมพิวเตอร์จึงประกอบด้วยสื่อการติดต่อสื่อสาร อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 ระบบเข้าด้วยกัน รวมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ


1.3 INTERNET
หมายถึง เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก หรือเครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย

  • Intranet

หมายถึง ระบบเครือข่ายภายในองค์กรที่นำเทคโนโลยีแบบเปิดจากอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยในการทำงานร่วมกัน (Workgroup) การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนการทำงานต่างๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร

  • Extranet

หมายถึงระบบเครือข่ายซึ่งเชื่อมเครือข่ายภายในองค์กร (INTRANET) เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายนอกองค์กร เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ของสาขาของผู้จัดจำหน่าย หรือของลูกค้า เป็นต้น โดยการเชื่อมต่อเครือข่ายอาจเป็นได้ทั้งการเชื่อมต่อโดยตรง (Direct Link) ระหว่าง 2 จุด หรือการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายเสมือน (Virtual Network) ระหว่างระบบเครือข่าย Intranet จำนวนหลายๆ เครือข่ายผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้
ระบบเครือข่ายแบบเอ็กซ์ทราเน็ต

โดยปกติแล้วจะอนุญาตให้ใช้งานเฉพาะสมาชิกขององค์กร หรือผู้ที่ได้รับสิทธิในการใช้งานเท่านั้น

1.4 PROTOCOLS & STANDARDS

  • Protocol

คือระเบียบพิธีการในการติดต่อสื่อสาร เมื่อมาใช้กับเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม จึงหมายถึงขั้นตอนการติดต่อสื่อสาร ซึ่งรวมถึง กฎ ระเบียบ และข้อกำหนดต่าง ๆ รวมถึงมาตรฐานที่ใช้ เพื่อให้ตัวรับและตัวส่งสามารถดำเนินกิจกรรมทางด้านสื่อสารได้สำเร็จ

  • มาตรฐานสากล

เพื่อความเป็นระเบียบและความสะดวกของผู้ผลิตในการผลิตอุปกรณ์สื่อสารแบบต่าง ๆ ขึ้นมา จึงได้มีการกำหนดมาตรฐานสากล สำหรับระบบติดต่อสื่อสารข้อมูลขึ้น ซึ่งประกอบด้วยโปรโตคอล และสถาปัตยกรรมโดยมีการจัดตั้งองค์การสำหรับพัฒนา และควบคุมมาตรฐานหมายองค์กรดังต่อไปนี้


1. ISO (The International Standards Organization)
เป็นองค์การสากลที่พัฒนามาตรฐานสากลเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเครือข่าย โดยมีการแบ่งโครงสร้างในการติดต่อสื่อสารออกเป็น 7 ชั้น (Layers)

2. CCITT (The Conseclitive Committee in International)

เป็นองค์กรสากลที่พัฒนามาตรฐาน v และ x โดยที่มาตรฐาน v ใช้สำหรับวงจรโทรศัพท์และโมเด็ม เช่น v29,v34 ส่วนมาจรฐาน x ใช้กับเครือข่ายข้อมูลสาธารณะเช่น เครือข่าย x.25 แพ็กเกจสวิตช์ (Package switch) เป็นต้น

3. ANSI (The American National Standards Institute)

เป็นองค์กรมาตรฐานของสหรัฐเมริกา ANSI ได้พัฒนามาตรฐานเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและ ระบบเครือข่ายมาตรฐานส่วนใหญ่จะ เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ตัวเลข ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลและมาตรฐานเทอร์มินัส

4. IEE (The Institute of Electronic Engineers)

เป็นมาตรฐานที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มนักวิชาการ และผู้ปกครองอาชีพทางสาขาไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริการ มาตรฐานจะเน้นไปทางด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ไมโครโปรเซสเซอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น IEE 802.3 ซึ่งใช้ระบบ LAN (Local Area Network)

5. EIA (The Electronics Industries Association)

เป็นองค์กรมาตรฐานของอเมริกาได้กำหนดมาตรฐานทางด้านไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์มาตรฐาน EIA จะขึ้นต้นด้วย RS (Recommended Standard) เช่น Rs-232-c เป็นต้น